ธรรมชาติของการตาย

หนังสือเล่มนี้ เเบ่งเรื่องราวต่างมุมมองจากต่างนักเขียน เเม้ว่าหนังสือเรื่องสั้นที่ได้รับเเรงบัลดาลใจจากเหตุการณ์สึนามิอาจจะดูช้ากว่ากระเเสไปนิด เเต่คุณภาพถือว่าดีกครับ เนื้อหาส่วนใหญ่จะเล่นกับประเด็นผลกระทบจากภัยภิบัติที่มีต่อคนในส่วนย่อย หนังสือเล่มนี้โดยรวมเรื่องสั้นที่มีคุณภาพ หลายคนบอกไว้ว่าไม่ผิดหวังเลยครับ

นั่งเล่าร้านกาเเฟ

หนังสือเล่มนี้ เนื้อหาไม่ใฃ่เพียงเคล็ดลับเกี่ยวกับกาเเฟเพียงอย่างเดียว เเต่เป็รเรื่องของชีวิตคนที่วนเวียนอยู่กับเครื่องดื่มชนิดนี้ นักเขียนช้มุมมองส่วนตัว เล่าไปในจังหวะเนิบช้าเเต่ไม่น่าเบื่อ มีไคบ์เเมกซ์เป็นจุดที่น่าดึงดูดให้อ่านได้เพลิดเพลิน หางได้อ่านหนังสือเล่มนี้คู่กับกาแฟ ระวังจะลืมกินจนกาเเฟเย็นชืด

ปลายปีพ.ศ. 2507 นักเขียนหนุ่มวัย 33 ปี นาม ฉัตรชัย วิเศษสุวรรณภูมิ เจ้าของนามปากกา ‘พนมเทียน’ ได้รับการว่าจ้างจากสำนักพิมพ์ผ่านฟ้าวิทยา ให้เขียนนิยายเกี่ยวกับการเดินป่า ขนาดพ็อกเก็ตบุ๊คความยาวไม่เกิน 8 เล่มจบ พนมเทียนเริ่มต้นเขียนนิยาย ‘ขนาดสั้น’ เรื่องนี้เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2507 และไปเขียนจบบริบูรณ์ในวันที่ 22 มิถุนายน 2533 ใช้เวลาไปเพียง 25 ปี 7 เดือน 3วัน!

ความยาวจากเริ่มแรกถูกกำหนดไว้เพียง8เล่มพ็อกเก็ตบุ๊คแบบบาง ไปสิ้นสุดเอาที่จำนวน 18,063 หน้า รวมเป็นพ็อกเก็ตบุ๊คขนาดมาตรฐานหนา 400 กว่าหน้าได้ถึง 48 เล่ม!

นี่คือนิยายไทยที่ถูกกล่าวขานกันว่า เป็นนิยายที่ยาวที่สุดในโลก นิยายที่สร้างปรากฏการณ์มากมายให้กับวงการวรรณกรรมของไทย นิยายที่ได้รับการยกย่องให้เป็นตำนานจากทุกๆ สังคม

ที่มา http://www.happeningnow.net

นาย ธนกร พัฒนพันธุ์











ข่าวดีสำหรับนักอ่าน B2S สาขาใหม่กำลังจะเปิดพร้อมกับ CentralWorld ว่ากันว่าร้านหนังสือที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีถึง 3 ชั้นด้วยกัน ชั้น 1 : Entertainment - รวบรวมความบันเทิงในรูปแบบของภาพและเสียงทั้งไทยและ เทศ ชั้น 2 Stationery - หาซื้ออุปกรณ์เครื่องเขียน อุปกรณ์เครื่องใช้สำนักงานเก๋ๆ และอุปกรณ์ศิลปะ งานฝีมือได้ที่นี่ ชั้น 3 : Books & Customer Service - มีหนังสือ นิตยสารกว่าแสนเล่มทั้งใทยและเทศ พร้อมบริการมุมกาแฟ ไปรษณีย์และอินเตอร์เน็ต อย่าลืมแวะไปดูกัน
นายธนกร พัฒนพันธุ์

อยากรู้มั้ยว่าการอ่านหนังสือมีไรดี ทำให้เราเปนยังไง

*อ่านหนังสือมากเป็นการกระตุ้นสมองให้สมองทำงานส่งผลให้ความจำเสื่อมช้าลง
*อ่านหนังสือมากเป็นการเพิ่มพูนความรู้ไม่ว่าหนังสือทางศิล (การ์ตูน) หรือทางความคิด (หนังสือทั่วไป)
*อ่านหนังสือมากสามารถเพิ่มมุมมองใหม่ๆได้
*อ่านหนังสือมากทำให้มีกำลังใจได้
*อ่านหนังสือมากทำให้มีความสุขได้
*อ่านหนังสือมากทำให้จิตนาการมากขึ้นได้
*อ่านหนังสือมากทำให้มีสมาธิ
*อ่านหนังสือน่าเบื่ออาจจะทำให้ง่วงนอนได้
*อ่านหนังสือมากในสภาพหรือแสงสว่างไม่เหมาะสม ทำให้สายตาเสีย
*อ่านหนังสือที่ไม่อยากรู้ทำให้อารมณ์เครียดมากขึ้นได้
*อ่านหนังสือเนื้อหาไม่ดี อาจชี้นำไปในทางที่ผิดได้
*อ่านหนังสือทำให้เศร้าได้
*อ่านหนังสืออาจทำให้หดหู่ได้
*อ่านหนังสืออาจจะทำให้เสียอารมณ์ได้
*อ่านหนังสือในรถอาจทำให้ปวดหัวมากได้
*อ่านหนังสืออดหลับอดนอน อาจทำให้สุขภาพย่ำแย่ได้
*อ่านหนังสือมากไป อาจจะทำให้สับสนเนื้อหาได้

ง่ายๆๆคือมีแต่ข้อดี ข้อเสียก็มีแต่น้อย มากๆๆ
ที่มา:
http://www.dominixz.com/blog/productivity/just-read-better-life/


มัลลิกา ปัญญาธนกิจ

คุณคิดว่าประเทศอะไรที่รักการอ่าน ชอบอ่านมากๆๆๆๆ คุณอาจจะคิดว่า พี่ไทยเราไม่ติดแน่ๆๆๆ แต่...
ต้องดูข้อมูลเหล่านี้

ประเทศที่มีการอ่านมากที่สุด!!(จำนวนชั่วโมงต่อสัปดาห์)

1 India 10.7
2 Thailand 9.4 (ใครบอกว่าคนไทยไม่อ่านหนังสือ555 โดน)
3 China 8
4 Philippines 7.6
5 Egypt 7.5
6 Czech Republic 7.4
7 Russia 7.1
8 Sweden 6.9
9 France 6.9
10 Hungary 6.8

คิดเป็นเปอร์เซ้นได้แบบนี้ล่ะค่ะ โอ้ น่าแปลกใจจริงๆๆพี่ไทยติดอันดับด้วย โย่ๆๆ ดีใจแทน อยากให้อ่านเยอะๆๆนะจ๊ะ จะได้เจริญ แล้วคุณอยากรู้มั้ยว่า ประเทศที่รวยที่สุดในเอเชียมาประเทศอะไรบ้าง อืมมมจะมีพี่ไทยติดป่ะเนี้ย...ถูกต้อง ต้องไปดู
ประเทศที่รวยที่สุดในเอเชีย!
1 Japan
2 Singapore
3 Brunei
4 South Korea
5 Malaysia
6 Kazakhstan
7 Thailand (*0*) ติดจนได้ บอกว่าเศรฐกิจไม่ดีนิ
8 Turkey
9 Turkmenistan
10 China
33 East Timor

พี่เราก็ติดอันดับเยอะเหมือนกันนะนี่

http://dek-d.com/

มัลลิกา ปัญญาธนกิจ

น่าอ่านมาก คนที่ชอบพวกลี้ลับ มนต์ดำ เวทมนต์ คาถา ต่างๆ ชอบแบบหลอน เราชอบอ่านพวกนี้แต่กลัว แต่ก็ยังอ่าน น่าอ่านมากๆ อิอิ ชื่อเรื่องว่า ริษยามนต์ดำ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ ความแค้นเมื่ออดีตติดตามหลอกหลอน เป็นปมปริศนาที่ต้องคลี่คลายความลับของมนต์ดำที่ซ่อนเร้นครอบคลุมบ้านหลังนั้น เธอต้องผวาทรมานกับสิ่งที่เข้ารังความนไม่จบสิ้นมีเพียง "เขา" คนเดียวที่จะถอนคสาปมนต์ดำให้ออกไปได้ เมื่อมนต์ร้ายสลายไปแต่มนต์รักในหัวใจกลับเพิ่มพูน เขาไม่เคยล่วงรู้ว่าความรักแท้นั้นนำอันตรายใหญ่หลวงมาสู่เธออีกครั้ง - หนังสือ book ริษยามนต์ดำ โอ้ น่าอ่านราคาแค่ 190 บาทเอง ถูกมากกกกก

มัลลิกา ปัญญาธนกิจ

10 อันดับการ์ตูนขายดีแห่งปี 2008 ประจำชาร์ทโอริกอน ได้แก่...

1.One Piece วันพีซ
2.Nana นานะ
3.Nodame Cantabile วุ่นรักนักดนตรี
4.Naruto นินจาคาถาโอ้โฮเฮะ
5.Fullmetal Alchemist แขนกลคนแปรธาตุ
6.Bleach เทพมรณะ
7.Hunter X Hunter
8.Hana Yori Dango สาวแกร่งแรงเกินร้อย
9.Kimi ni Todoke และ
10.D.Gray-man ดี.เกรย์-แมน

มัลลิกา ปัญญาธนกิจ

เรื่องที่เราชอบมากที่สุดก็คือวันพีช เย่ๆๆ ถ้าอ่านแล้วจะสนุกมากๆๆ อ่านแล้วแบบว่าติดเลยอ่ะ 555 มันเป็นโลกของความเป็นไปไม่ได้ แต่สนุก มีทั้งเพื่อนการพจญภัย ต่างๆๆ ยังไท่พอ เราก็ชอบนารูโตะ นินจาคาถาโอ้โหเฮะ หนุกเหมือนกานแต่มันออกช้า มากๆๆ รอนาน 2 เรื่องนี้ต้องอ่าน ไม่อ่านไม่ได้แล้ว

เพื่อนอยากรู้มั่ยคะ ว่าหนังสือต้องห้ามของไทยคืออะไร 555 เดี๋ยวเราก็รู้กันว่าเรื่องอะไร คือหนังสือที่มีชื่อว่า กงจักรปีศาจ หนังสือที่ว่าด้วย กรณีสวรรคต ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙ กงจักรปีศาจ โดย เรย์น ครูเกอร์ ซึ่งถูกห้ามตั้งแต่พิมพ์เป็นภาษาอังกฤษในปี ๒๕๐๗ ในชื่อ The Devil’s Discus ต่อมามีการแปลและโรเนียวแจกในแวดวงผู้สนใจ หลังเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา ๑๖ ที่เสรีภาพเบ่งบาน มีความคิดที่จะพิมพ์ขายอย่างเปิดเผย แต่ต่อมาความคิดนี้ก็ต้องล้มเลิกไป กงจักรปีศาจ จึงเป็นหนังสือใต้ดินที่ต้องลักลอบขาย หลัง ๖ ตุลา ๑๙ หนังสือเล่มนี้ก็ถูกประกาศเป็นหนังสือต้องห้าม หนังสือเล่มนี้เราอยากอ่านมา แต่ไม่รู้ว่าจะหาซื้อที่ไหนได้ เพราะถูกสั่งให้ทำลายไป หนังสือนี้น่าสนมากๆๆ ต้องหาอ่าน

มัลลิกา ปัญญาธนกิจ

การที่เราจะต้องการแผ่นพับอย่างแบบหนึ่งเราคงต้องศึกษาวิธีของการออกแบบ กำหนด รูปแบบของแผ่นพับ ว่าเราชอบแบบไหนบ้าง มากน้อยแค่ไหน ต้องการปรับเปลี่ยนอะไร เราก็มีวิธีง่ายๆ ในการเลือก กำหนดรูปแบบ

1.การกำหนดขนาดและรูปแบบของแผ่นพับ
แผ่นพับเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ซึ่งจัดเป็นการเผยแพร่ถึงกลุ่มเป้าหมายโดยตรงชนิดหนึ่ง การนำไปใช้งานนั้นอาจทำได้หลายวิธี โดยส่งทาง ไปรษณีย์ให้ผู้อ่านที่คาดว่าจะเป็นกลุ่มที่สนใจสินค้าหรือบริการนั้นๆ หรือนำไปใส่ไว้ในกล่องที่จัดทำขึ้นเป็นพิเศษ ซึ่งจะไปตั้งตามสถานที่สาธารณะ เช่น ศูนย์การค้า เพื่อให้ผู้ที่สนใจหยิบไปเอง (Take-Onebox) นอกจากนี้ยังมีการใช้คนไปยืนแจกตามสถานที่ที่คาดว่ากลุ่มคนที่สนใจจะไปการผลิต รูปแบบของแผ่นพับจะเป็นกระดาษแผ่นเดียว พิมพ์ทั้งสองหน้า แล้วพับอย่างน้อย 1 พับ รูปแบบที่นิยมที่สุดคือเป็นกระดาษขนาดเอสี่แล้วพับ 2 ครั้ง
2.การกำหนดลักษณะการส่ง
เนื่องจากการนำแผ่นพับไปใช้งานนั้นทำได้หลายวิธีตามที่ได้กล่าวไปข้างต้นแล้ว การกำหนดลักษณะการแจกจ่ายแผ่นพับ ที่แน่นอน จะทำให้ทราบ ล่วงหน้าถึงข้อที่ควรคำนึงถึงในขั้นตอนการออกแบบ เช่น หากจะส่งทางไปรษณีย์ ก็อาจต้องออกแบบซองที่จะใช้ใส่ หรือเว้นพื้นที่ว่างเอาไว้เขียนชื่อ และที่อยู่ของผู้รับ รวมทั้งการติดแสตมป์หรือการเสียค่าไปรษณีย์เป็นการล่วงหน้า เป็นต้น
3.การกำหนดกระดาษ
โดยทั่วไปแล้วการกำหนดกระดาษสำหรับทำแผ่นพับมักจะคำนึงถึงต้นทุนในการผลิตเป็นหลัก เพราะแผ่นพับ 1 ใบที่แจกออกไปนั้น จะมีผู้พบเห็นเพียงคนเดียวเท่านั้น ผิดกับสื่ออื่นๆ เช่น โปสเตอร์ 1 แผ่นที่มีผู้ผ่านไปมาพบเห็นมากมาย อย่างไรก็ตามการกำหนดกระดาษที่ใช้ในการทำแผ่นพับนั้นก็ต้อง มีความเหมาะสมกับสินค้าหรือบริการที่ต้องการสื่อสารด้วย เช่น แผ่นพับของเรือสำราญที่มีความหรูหราก็ควรจะใช้กระดาษที่ดูพิเศษและมีราคากว่ากระดาษทั่วไป ลักษณะของกระดาษที่แตกต่างกันสามารถทำให้แผ่นพับมีลักษณะไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิง และในด้านเทคนิคกระดาษบางชนิดก็มีข้อจำกัดในเรื่องการพับโดยเฉพาะกระดาษที่มีความหนามากกว่าปกติ คือจะต้องพับไปในแนวเดียวกับทิศทางการเรียงตัวของเส้นใยกระดาษ (Grain) เท่านั้น
4.การกำหนดลำดับของการอ่านตามลักษณะของแผ่นพับ
เมื่อผู้อ่านได้รับแผ่นพับนั้นจะเป็นลักษณะที่ยังพับอยู่ ทำให้ผู้อ่านได้เห็นด้านหน้าก่อนหน้าอื่นๆ จากนั้นเมื่อผู้อ่านคลี่แผ่นพับนั้นออกก็จะค่อยๆ เห็นหน้าอื่นๆ ดังนั้นจึงต้องกำหนดลำดับของเนื้อหาให้อยู่ในตำแหน่งหน้าที่สอดคล้องกับลำดับของการคลี่แผ่นพับนั้นออกอ่าน โดยต้องกำหนดว่าเนื้อหาส่วนใดควรมาก่อนส่วนใดควรมาทีหลัง แล้วจัดวางไปตามส่วนต่างๆ ให้ถูกต้องตามลำดับของการคลี่ออกอ่าน

ทีนี้เราก็ได้แผ่นพับตามที่เราต้องการแล้ว


www.google.co.th



มัลลิกา ปัญญาธนกิจ



สิ่งที่จะทำให้รู้นิสัยของคนเรานั้นมีหลายสิ่งหลายอย่าง กิริยาท่าทางหรือความสนใจในบางสิ่งก็เป็นสิ่งหนึ่งที่สามารถบ่งบอกนิสัยของเราได้ อย่างอ่านหนังสือก็สามารถบอกนิสัยเราได้เช่นกันนะ อยากรู้ว่ามีนิสัยแบบไหนก็ลองอ่านคำทำนายได้เลยค่ะ.....

สมมติว่าเราหยิบหนังสือมาเล่มนึง หากเราเปิดอ่านแค่คร่าวๆ โดยไม่อ่านรายละเอียดอะไรมากนัก....แสดงว่าเป็นคนใจร้อน วู่วาม เวลาจะทำงานอะไรก็ไม่ละเอียดถี่ถ้วนนัก

เปิดอ่านแต่เรื่องที่ตัวเองสนใจ...แสดงว่าเป็นคนที่เป็นเด็กอยู่ในตัวเองสูง มักเอาแต่ใจตัวเอง นึกจะทำอะไรก็ทำไปอย่างนั้น ไม่ค่อยนึกถึงจิตใจผู้อื่นเท่าไหร่นัก

ชอบอ่านทุกหน้าและทุกเรื่อง...จะเป็นคนใจกว้าง ยอมรับความคิดหรือสิ่งใหม่ๆได้ง่ายไม่ว่าจะเป็นความคิดของใครก็ตาม เป็นคนที่ให้โอกาสคนอื่นสูง

ชอบออกเสียงเวลาอ่านหนังสือ...แสดงให้เห็นถึงเปิดเผยจริงใจและซื่อสัตย์ต่อทุกคนที่คบด้วยและเป็นคนไว้ใจได้ไม่ค่อยมีพิษมีภัยกับใคร เป็นครักสงบ มีชีวิตเรียบง่าย สมถะ รักธรรมชาติ
ถึงแม้จะไม่ใช่คนมีภูมิความรู้มากนักแต่ก็มีความน่านับถืออยู่ในตัว มีโลกส่วนตัว และมีโลกในอุดมคติของตัวเอง

ชอบขีดเส้นข้อความสำคัญเวลาอ่านหนังสือ...อุปนิสัยเป็นคนช่างจดจำและค่อนข้งยึดมั่นในตัวเอง สิ่งไหนที่เป็นของตนเองก็ไม่อยากให้คนอื่นมาแย่ง แต่ก็เป็นคนทำงานเก่งและทำงานได้ดี เพราะเวลาทำงานจะทำอย่างจริงจังและไม่ชอบเสียเวลากับเรื่องไร้สาระ

ชอบพับขอบหนังสือ...เวลาอ่านค้างไว้มักจะใช้วิธีพับขอบแทนการใช้ที่คั่นหนังสือ แสดงว่าเป็นคนที่ไม่ค่อยเรียบร้อยนัก แต่เมื่อได้ลงมือทำอะไรก็มักจะทำอย่างจริงจัง หมกมุ่นจนทำสำเร็จ ไม่ค่อยใส่ใจคนรอบข้าง ดูเหมือนเป็นคนเห็นแก่ตัว แต่ที่จริงเค้าไม่เก่งเรื่องโฆษณาประชาสัมพันธ์ตัวเองซะมากกว่า ยิ่งเวลามีคนมาขอความช่วยเหลือ เค้าก็พร้อมจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่

พรพิมล ศิลป์มหาบัณฑิต






คำว่า สมุด ในพจนานุกรมให้ความหมายไว้ว่า "กระดาษที่ทำเป็นเล่มมีหลายชนิดเรียกชื่อตามประโยชน์ใช้สอย เช่น สมุดวาดเขียน สมุดแผนที่ สมุดแบบฝึกหัดคัดลายมือ"


คำว่า หนังสือ ในพจนานุกรมให้ความหมายไว้ว่า "เครื่องหมายใช้ขีดเขียนแทนเสียงหรือคำพูด เช่น อ่านหนังสือ เขียนหนังสือ"




ฉะนั้นหากจะตีความตามประสาคนรู้น้อยคงจะได้ความว่า สมุดเป็นต้นกำเนิดของหนังสือ เพราะสมุดคือกระดาษว่างๆจนกระทั่งเราบันทึกอะไรลงไปนั่นแหละมันจึงกลายเป็นหนังสือ

เมื่อหนังสือเกิดจากสมุดเราจึงเรียกสถานที่เก็บว่าห้องสมุด..คำคำนี้ถูกบัญญัติขึ้นใช้อย่างเป็นทางการในรัชกาลที่6 ก่อนหน้านี้เคยมีหลักฐานปรากฎว่าเราเคยใช้คำนี้มาก่อนแล้ว คือคำว่า "หอพระสมุด" ซึ่งใช้กันตั้งแต่อยุธยา แต่นั่นหมายถึงสถานที่ที่เป็นของหลวงหรือในวัง แต่สุดท้ายเหตุผลที่เรายังคงใช้คำว่าห้องสมุดแทนคำว่าห้องหนังสือนั้น็ยังไม่ปรากฎแน่ชัดเพราะเนื่องจากมันแปรเปลี่ยนจากสมุดมาเป็นหนังสือแล้วก็ไม่เห็นมีความจำเป็นต้องใช้คำว่าสมุดเลย

ในสมัยที่ยังไม่มีเทคโนโลยีการพิมพ์ การทำหนังสือสมัยก่อนต้องอาศัยการเขียนด้วยลายมือแต่เพียงอย่างเดียว...อันที่จริงเทคโนโลยีบ้านเราน่าจะเริ่มมีขึ้นตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็นช่วงที่มีพวกมิชชันนารีเข้ามาเผยแพร่ศาสนาในอยุธยา มีบาทหลวงผู้หนึ่งชื่อ บาทหลวงลาโน เป็นชาวฝรั่งเศส ได้นำแท่นพิมพ์เข้ามาเพื่อจัดพิมพ์หนังสือสอนออกเผยแพร่เป็นที่พอพระราชหฤทัยของสมเด็จพระนารายณ์ ทรงโปรดเกล้าให้ เจ้าพระยาโกษาธิบดี เดินทางไปฝรั่งเศสเพื่อศึกษาวิธีการพิมพ์แบบฝรั่งเศสเพื่อนำว่าใช้ในอยุธยา.......แต่พอสิ้นสมัยของสมเด็จพระนารายณ์ กิจการโรงพิมพ์ของฝรั่งในกรุงศรีอยุธยาก็เสื่อมถอยลง ด้วยเหตุที่พระเจ้าแผ่นดินพระองค์ถัดมาไม่ใคร่โปรดพวกฝรั่งนัก

หมอบรัดเลย์
กิจการการพิมพ์ของไทยเริ่มต้นอย่างจริงจังในสมัยรัชกาลที่3 โดยผู้เริ่มกิจการ คือ นายแพทย์ แดน บีช แบรดลี่ย์ หรือ หมอบรัดเลย์ โดยท่านเข้ามาในไทยเพื่อเผยแพร่ศาสนาและก็ได้เปิดร้านรักษาผู้คนไปด้วย ซึ่งวิธีหนึ่งที่ใช้เผยแพร่ศาสนาคือการพิมพ์หนังสือ งานแรกที่โรงพิมพ์ของหมอบรัดเลย์ได้ผลิตขึ้นมาเป็นใบประกาศห้ามสูบฝิ่นและห้ามค้าฝิ่น ซึ่งนับเป็นเอกสารราชการฉบับแรกของไทยที่พิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์
จากนั้นมากิจการการพิมพ์ของไทยเจริญขึ้นตามลำดับมีหนังสือถูกพิมพ์ออกมามากมาย...เมื่อมีหนังสือเกิดขึ้นก็ย่อมมีการเก็บรักษาจนเกิดเป็นห้องสมุด......หากจะนับเอานิยามของห้องสมุดเป็นสถานที่เก็บหนังสือที่มีการเก็บอย่างเป็นระบบ อาจจะใช้ไม่ได้กับการเก็บหนังสือในยุคก่อน ซึงคงยังไม่มีระบบจัดเก็บเป็นแน่ อีกทั้งทุกวันนี้ก็ยังไม่มีข้อสรุปใดๆว่ามีห้องสมุดแห่งแรกของโลกที่ไหน เมื่อไหร่.....เราค้นพบเพียงแต่ห้องสมุดที่เก่าแก่มากๆเท่านั้น....
พรพิมล ศิลป์มหาบัณฑิต

สมุดข่อย..

ใครรู้จักสมุดข่อยบ้าง...

สมุดข่อยคือ.......การนำเอาพืชต่างๆมาใช้ประโยชน์ การทำกระดาษสมัยโบราณมนุษย์รู้จักพืชหลายชนิด เช่น เปลือกข่อย เปลือกปอสา เปลือกปอตอ หอย เมื่อนำมาต้มหั้ยเปื่อย ผงที่ละเอียดจะทำเป็นแผ่นกระดาษได้



วิธีการผลิต...
1. เริ่มจากการนำเปลือกข่อย หรืออาจผสมกับเปลือกสาเปลือกหอยนำมาผสมกันก้อได้ ต้มจนเปื่อย ใส่ใบมะละกอเพื่อให้เปื่อยเร็วขึ้น
2. นำปอที่เปื่อยแล้วมาล้างน้ำปั้นเป็นก้อนแห้งๆหั้ยหมดน้ำ ใส่ครกตำให้ละเอียด

3. ทำกรอบไม้สี่เหลี่ยมประมาณ 1 เมตร ขึงให้ตึงด้วยผ้าดิบ แช่ลงในน้ำ เทเยื่อปอที่ตำลงไปในกะบะไม้เกลี่ยให้เสมอกัน นำไปผึ่งแดดให้แห้งแล้วลอกออก จะใช้กระดาษสาตามขนาดของกรอบไม้

4. นำกระดาษสามาตัดตามขนาดสั้นยาว พับกลับไปมาที่เรียกว่า "พับกลับหน้ากลับหลัง" จะได้เป็นแผ่นพับกระดาษสา

5. น้ำยาที่ใช้เขียนคือใช้ยางติ้ว ยางพะองมาผสมกับน้ำ ผลชาตรีจะให้ผลสีแดง ถ้าต้องการสีดำก็ผสมเขม่าไฟจากหม้อดินมาบดให้ละเอียด

6. วัสดุที่ใช้ทำที่เขียนมักใช้ต้นโกธา รากดอกเกตุ รากโพธิ์ มาทุบหั้ยเป็นฝอยเหลาให้แหลมคล้ายปลายดินสอ จุ่มน้ำเขียนตามต้องการ

7. แผ่นปกสมุดข่อยนิยมทา สีน้ำเกลี้ยงหลายๆครั้งจนดำสนิททั้งปกหน้า-ปกหลังที่เรียกกันว่า " หลบหน้า-หลบหลัง" (หลบ-คืนมา)



พรพิมล ศิลป์มหาบัณฑิต















หนังสือเก่าเป็นหนังสือหายาก (Rare Books) ประเภทหนึ่งที่มีคุณค่ามาก เป็นเอกสารอ้างอิงสำหรับการค้นคว้าวิจัย เป็นเอกสารปฐมภูมิ (Primary Source) ในด้านประวัติและการพัฒนาการของการพิมพ์ ทั้งลักษณะรูปเล่ม ตัวอักษร และรูปแบบอื่นๆ หนังสือเก่าหรือหนังสือหายากไม่สามารถหาอ่านได้ในห้องสมุดทั่วๆ ไป และไม่สามารถหาซื้อได้จากสำนักพิมพ์หรือร้านขายหนังสือทั่วไปด้วย หนังสือเก่าบางประเภทมีราคาสูงมากทัดเทียมกับของที่มีค่าอื่นๆ ดังนั้นในปัจจุบันจึงมีผู้สนใจหนังสือหายากหรือหนังสือเก่าเป็นจำนวนมาก
หนังสือราชกิจจานุเบกษา เป็นสิ่งพิมพ์ของรัฐบาลประเภทวารสารฉบับแรกของไทย พิมพ์เผยแพร่แก่บรรดาข้าทูลละอองธุลีพระบาทเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๐๑ ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ และได้มีการหยุดพิมพ์ไปในช่วงเวลาหนึ่งแต่ก็กลับมาพิมพ์เผยแพร่ต่อเนื่องในเวลาต่อมา จนถึงทุกวันนี้ นับเป็นสิ่งพิมพ์ของไทยที่มีอายุยาวนานที่สุด

หนังสือราชกิจจานุเบกษา เป็นเอกสารสำคัญยิ่งของบ้านเมืองในทางประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และอักษรศาสตร์ และยังเป็นเอกสารอ้างอิงที่สำคัญของทางราชการ และประชาชน
ในปัจจุบันสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการจัดพิมพ์โดยแบ่งหนังสือราชกิจจานุเบกษาออกเป็น ๔ ประเภท คือ

ประเภท ก ฉบับกฤษฎีกา ลงประกาศเกี่ยวกับกฎหมาย
ประเภท ข ฉบับทะเบียนฐานันดร ลงประกาศรายชื่อผู้ที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เหรียญราชการและยศ
ประเภท ค ฉบับทะเบียนการค้า ประกาศเกี่ยวกับการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนและบริษัท
ประเภท ง ฉบับประกาศทั่วไป เป็นประกาศเรื่องอื่นๆ นอกเหนือจากที่ระบุในประเภท ก - ค

หนังสือราชกิจจานุเบกษา ทั้ง ๔ ประเภท จะมีกำหนดออกฉบับปกติต่างกันและจะออกตอนพิเศษสำหรับเรื่องที่มีความจำเป็นและความเร่งด่วนด้วย
หนังสือราชกิจจานุเบกษา ฉบับพิเศษ จะออกในวาระที่มีเหตุการณ์สำคัญของบ้านเมือง เช่น ราชกิจจานุเบกษา ฉบับจดหมายเหตุงานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี (พ.ศ.๒๕๒๕) ราชกิจจานุเบกษา ฉบับงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ฯลฯ
ราชกิจจานุเบกษา ฉบับพิเศษดังกล่าว ในปัจจุบันกรมศิลปากร โดยกองจดหมายเหตุแห่งชาติ เป็นหน่วยงานที่รวบรวมเรียบเรียงแล้วมอบต้นฉบับให้สำนักเลขาธิการ คณะรัฐมนตรีจัดพิมพ์เผยแพร่
ผู้สนใจหนังสือราชกิจจานุเบกษาบอกรับเป็นสมาชิก หรือซื้อได้ที่สำนักเลขาธิการ คณะรัฐมนตรี (ในบริเวณโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าเดิม ถนนราชดำเนิน ตรงข้ามกระทรวงศึกษาธิการ หรือหาอ่านได้ที่ หอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร
หนังสือราชกิจจานุเบกษาเป็นเอกสารอ้างอิงที่สำคัญ และเป็นหลักฐานสำคัญเพื่อประกอบในการยื่นคำร้องของสิทธิบางอย่างของทางราชการ ดังกล่าวข้างต้น หอสมุดแห่งชาติได้ตระหนักถึงหน้าที่ในการเก็บรักษา อนุรักษ์ และการให้บริการ จึงได้เก็บรวบรวมและรักษาราชกิจจานุเบกษาตั้งแต่เล่มแรกจนถึงปัจจุบัน และให้บริการดังนี้
- ฉบับพิมพ์ พ.ศ. ๒๔๐๑ และฉบับพิมพ์ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๑๗ - ๒๔๕๙ ให้บริการการอ่านจากไมโครฟิล์ม
- ฉบับพิมพ์ พ.ศ.๒๔๖๐ - ปัจจุบัน ให้บริการจากรูปเล่มหนังสือโดยตรง

(ลำดวน เทียมฆนิธิกุล บรรณารักษ์หอสมุดแห่งชาติ ค้นคว้าเรียบเรียง)


ที่มา http://www.sakulthai.com/


รุ่งทิพย์ พรหมนิมิตกุล


โดราเอม่อน หรือที่คนไทยเรียกโดเรม่อน ไม่มีใครที่ไม่รู้จักตัวการ์ตูนนี้ เป็นการ์ตูนที่อยู่มายาวนานหลายสิบปี เล่มนี้คือโดราเอม่อนตอนสุดท้ายที่ผมจะกล่าวคร่าว คร่าวให้ฟัง
ความเป็นมาของ โดราเอม่อน ตอนจบพล็อตเรื่อง โดราเอม่อนตอนจบนั้น ตามที่ได้ทราบกันดีนั้น คือมีที่มาจากฟิกชั่น ที่ถูกเผยแพร่ผ่านทางอินเทอร์เน็ต ทั้งในรูปแบบ แฟนฟิคชั่น ข่าวลือ หรือ เมล์ลูกโซ่ โดย พล็อตนั้นก็มีหลายหลาย ส่วนมากที่พบจะเกี่ยวกับ ความตาย, ความฝัน, อุบัติเหตุซึ่งที่พบเห็นบ่อย ก็จะมีอยู่ใน 3 รูปแบบ คือ- โนบิตะ เป็นคนสร้างโดราเอม่อน- โนบิตะ ป่วยเป็นโรคร้ายแรง- เรื่องทั้งหมดของโดราเอม่อน เป็นเรื่องที่โนบิตะฝันไปเอง ซึ่งที่ยังหลงเหลือในปัจจุบัน คือพล็อตแรก โนบิตะเป็นคนสร้างโดราเอม่อน และ โนบิตะป่วยเป็นโรคร้ายแรง+ฝันเรื่องโดราเอม่อนไปเองแต่อย่างไรก็ดี โดราเอม่อนตอนจบทุกแบบนั้น ล้วนแต่เป็นเพียงเสียงเล่าอ้าง และไม่มีหลักฐานใดๆอย่างชัดเจนจริงแล้วนั้นโดราเอม่อนนั้นเคยจบไปแล้วหนึ่งครั้ง ในจะเป็นตอนสุดท้ายของรวมเล่ม ที่ 6 ชื่อตอนว่า ลาก่อนโดราเอม่อน








อานันท์ อภินันทน์


ทุกวันนี้นิตยสารประเภทกีฬามีอยู่หลายประเภท หลายชนิดทั้งรายวัน รายปักษ์ รายสัปดาห์ รายเดือน ให้ผู้ที่สนใจได้ติดตามอ่านข่าวสารได้อย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะกีฬาที่มีให้เห็นตามร้านหนังสือมากที่สุดก็เห็นจะเป็นกีฬาฟุตบอลที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ที่เห็นกันประจำก็ สตาร์ซอคเกอร์รายวัน สปอร์ตพูลรายวัน และอื่นๆอีกมากมาย แต่ที่อยากจะนำเสนอคือ นิตยสารฟุตบอลสตาร์ซอคเกอร์ รายสัปดาห์ เนื้อหาส่วนใหญ่จะเป็นข่าวอัพเดตเกี่ยวกับตัวนักกีฬาของประเทศต่าง บทสัมภาษณ์นักแตะ ข่าวเหตุการณ์สำคัญๆที่เกิดขึ้นในรอบสัปดาห์ มีภาพประกอบและสีสันที่สวยงาม พร้อมด้วยความบันเทิงอีกมากมาย ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยพลาดซื้อสักฉบับ สะสมมาได้ 7 ปีแล้ว คงไม่ต้องบอกมาว่ามีเยอะขนาดไหน ใครที่สนใจกีฬาฟุตบอลก็หาซื้ออ่านได้ทุกวันจันทร์นะคับ
ธณาวัฒน์ พรหมบุตร

ภาพวาดสมัยรัชกาลที่2




ลายเส้นมุมกว้างเก่าที่สุด ภาพแรก ภาพอาจจะเล็กไปนิดนึง แต่จะอธิบายให้ฟังและกันว่าในรายละเอียดนี้มีอะไรบ้าง เป็นภาพวิวของพระบรมราชวัง บนฝั่งพระนคร ประมาณต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ไม่ได้ถ่ายด้วยกล้องถ่ายรูปแต่วาดด้วยมือ เขียนใต้ภาพว่า Vue de Bangkok แปลว่าภาพวิวบางกอก วาดโดยศิลปินชาวฝรั่งเศส ประมาณพ.ศ.2364-2365 ในสมยรัชกาลที่ 2 นั่นเอง

ลายเส้นสมัยรัชกาลที่5


ภาพลายเส้นถนนเจริญกรุงในสมัยรัขกาลที่ 5 เขียนโดยชั่งฝรั่งเศส ตีพิมพ์ลงในหนังสือ L’Illustration ของฝรั่งเศส เมื่อปี พ.ศ.2436 ซึ่งจะเห็นภาพรถรางยุคแรกๆที่ยังใช้มาลากอยู่

ภาพวาดหญิงชาวสยาม โดย บ็อค

ภาพหญิง ชาวลาว ไทลื้อ แห่งเมืองเชียงราย

ภาพชาวบ้านล้านนาที่กำลังแสดงความเคารพ

ภาพวาด เจดีย์งามของวัด เก้าตื้อ

ภาพวาดชาวกระเหรี่ยงที่เมืองเพชรบุรี

ดูกันแค่นี้พอหอมปากหอมคอกันก่อนและกันนะค่ะ สำหรับวันนี้ ฝันดีนะค่ะทุกคน จุฟๆๆ

มะลิษา รุ่งสว่าง

นี่เป็นนวนิยายในสมัยก่อนที่หาอ่านยาก !!







มะลิษา รุ่งสว่าง




















































นาย เจษฎา ทองด้วง

เฉลิมไทยไม่ใช่โรงหนังที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองไทย โรงหนังหรือโรงภาพยนตร์ในเมืองไทยเกิดขึ้นครั้งแรกในปี 2445 โดยมีหนังญี่ปุ่นเข้ามาตั้งกระโจมที่เวิ้งสะพานเหล็ก ต่อมาก็สร้างเป็นโรงมีหลังคารั้วรอบ ภายในโรงมีผ้าขาวผืนใหญ่กั้นเป็นจอ พื้นโรงเป็นดิน มีม้านั่งยาวรวมกันเป็นแถว หนังที่ฉายในสมัยแรกเป็นหนังทั่วไปประเภทม้วนเดียวจบ เมื่อหนังจบจะมีไก่แจ้ขันขึ้นมาในจอ เพราะหนังในสมัยนั้นเป็นของบริษัทปาเต๊ะแฟร์ตราไก่แจ้ จากนั้นมาโรงหนังก็เปลี่ยนเป็นตึก โรงแรกคือโรงหนังนครเขษมแล้วก็โรงหนังปีระกาในตลาดปีระกา โรงหนังวังพระองค์เจ้าปรีดา (แคปปิตอล) โรงหนังพัฒนากร ซึ่งจัดว่าเป็นโรงหนังชั้นหนึ่งมีที่นั่งเป็นชั้นๆอย่างดี ก่อนที่จะฉายหนังก็มีการเอาแตรวงมาเป่าโหมโรง และเป่าเวลาหนังฉายฉากที่ต้องมีเสียงด้วย ต่อจากนี้ก็เป็นโรงหนังสิงคโปร์ (เฉลิมบุรี) โรงหนังเฉลิมกรุงและอื่นๆ จนถึงสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม โรงหนังเฉลิมไทยจึงเกิดขึ้น

นาย เจษฎา ทองด้วง

Amazon.com, Inc (www.amazon.com ) เป็นร้านขางหนังสือออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก บริษัทเริ่มดำเนินการ ตั้งแต่ปี 1995 จากการขายหนังสือและขยายไปสู่สินค้าอื่นๆ เช่น ซีดี ดีวีดี วิดีโอเทป อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ของเล่น และโปรแกรมคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้บริษัทได้ขยายสู่ธุรกิจประเภทอื่น เช่น ตลาดประมูลสินค้าหายากและของสะสมต่างๆ ในปัจจุบันบริษัทมีรายชื่อหนังสือ เพลง ดีวีดี วิดีโอเทป เครื่องใช้ไฟฟ้า ของเล่น เกมส์ และโปรแกรมคอมพิวเตอร์ขายรวมกันมากกว่า 1.8 หมื่นล้านรายการ Amazon ยังขยายธุรกิจไปในต่างประเทสอีก 4 ประเทศ คือ อังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น
ในปี 1999 บริษัทมีลูกค้ามากกว่า 17 ล้านรายกระจายอยู่ในประเทศต่างๆมากกว่า 150 ประเทศ และมีรายได้จากการประกอบธุรกิจถึง 1.64 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจาก 610 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และ 148 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 1998 และ 1997 ตามลำดับ สินค้าของ Amazon ที่มีการซื้อขายมาก ได้แก่ หนังสือ ซีดีเพลง ดีวีดี วิดีโอเทป เครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องคอมพิวเตอร์ ตุ๊กตา ของเล่น ของที่ระลึก เครื่องแก้ว เครื่องประดับ และอื่นๆ ในปัจจุบันมีร้านค้าปลีกหนังสือออนไลน์ในประเทศไทยแล้วอย่างน้อย 2 แห่งคือ ไทยอะมาซอน ซึ่งภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น AR4U (www.ar4u.com) และ ศูนย์หนังสือจุฬาฯ (www.cubook.com) อย่างไรก็ตาม จุดเด่นในการประกอบธุรกิจของ Amazon โดยเฉพาะจุดเด่นในการให้บริการลูกค้า สามารถประยุกต์ได้กับธุรกิจค้าปลีกออนไลน์อื่นๆ เนื่องจากร้านค้าปลีกออนไลน์ในประเทศไทยเกือบทั้งหมดยังมีข้อจำกัดที่ไม่สามารถปรับบริการให้ สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าแต่ละรายได้

นาย เจษฎา ทองด้วง




เครื่องพิมพ์ดีดภาษไทย เกิดขึ้นเมื่อ Edwin Hunter Mcfarland ชาวอเมริกัน ซึ่งรับราชการในตำแน่งเลขานุการส่วนพระองค์ ในพระบาทสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงธรรมการ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้มีแนวความคิดที่จะสร้างเครื่องพิมพ์ดีดภาษไทยขึ้น จึงได้เดินทางกลับไปประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อสำรวจหาโรงงานที่สามารถผลิตเครื่องพิมพ์ดีดภาษไทยได้ ในที่สุดได้โรงงาน Smith Premier ซึ่งอยูที่กรุงนิวยอร์คเป็นผู้ผลิตให้ โดย Mcfarland เป็นผู้คิดแบบและควบคุมการผลิต จนกระทั่งสำเร็จเป็นเครื่องพิมพ์ดีดภาษไทย ชนิดแป้นอักษร 7 แถว ทำงานแบบตรึงแคร่อักษร ( fixed carriage typed typewriter ) ซึ่งสามารถใช้งานได้ดี แต่ในขณะออกแบบแป้นอักษรไทยเพื่อบรรจุลงในแผงแป้นอักษรนั้นปรากฎว่า Mcfarland ได้ลืมบรรจุตัวอักษร ขอ ขวด และ คอ คน ลงไปด้วย แต่โชคดียังมีอักษรอื่นที่ฟ้องเสียงสามารถใช้แทนกันได้ จึงถือได้ว่า Edwin Hunter Mcfarland คือผู้คิดประดิษฐ์เครื่องพิมพ์ดีดภาษไทยได้เป็นคนแรก หลังจากนั้นในปี พ.ศ.2435 Mcfarland ได้นำเครื่องพิมพ์ดีดดังกล่าวเข้ามาถวายพระเจ้ายู่หัวรัชกาลที่ 5 ซึ่งพระองค์ได้ทรงทดลองพิมพ์และเป็นที่พอพระราชหฤทัยอย่างยิ่ง เราจึงถือว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เป็นนักพิมพ์ดีดไทยคนแรก ซึ่งต่อมาได้ทรงสั่งซื้อเครื่องพิมพ์ดีดภาษาไทย Smith Premier จำนวน 17 เครื่องเข้ามาใช้ในราชการ แต่เนื่องจากเครื่องพิมพ์ดีดชนิดนี้มีแป้นพิมพ์อักษรถึง 7 แถว จึงไม่สามารถใช้วิธีการพิมพ์แบบสัมผัสอย่างในปัจจุบันได้ ต้องพิมพ์โดยใช้นิ้วเคาะทีละแป้น


ต่อมา Mcfarland ได้เดินทางกลับไปสหรัฐเมริกาและอยู่ที่นั่นจนกระทั่งถึงแก่กรรมในปี พ.ศ.2438 นายแพทย์ Grorge B.Mcfarland หรือ อำมาตย์เอก พระอาจวิทยาคม ซึ่งเป็นน้องชายก็ได้รับสืบทอดกิจการเครื่องพิมพ์ดีดของพี่ชายมาไว้ และได้นำไปตั้งแสดงและสาธิตในร้านทำฟันของตนเอง จนเป็นที่รู้จักและสนใจของประชาชนอย่างมาก ดังนั้น Mcfarland จึงได้สั่งซื่อเครื่องพิมพ์ดีดภาษาไทย Smith Premier เข้ามาจำหน่าย โดยตั้งร้านที่หัวมุมเจริญกรุงตัดกับถนนวังบูรพา ชื่อร้าน Smith Premier Store ในปี พ.ศ.2441 ต่อมาภายหลังบริษัท Smith Premier ประเทศอเมริกา ได้ขายสิทธิบัตรการผลิตให้แก่บริษัท Remington และบริษัท Remington ก็ได้ปรับปรุงเครื่องพิมพ์ดีดภาษาไทย ให้เป็นแบบที่สามารถเลื่อนและยกแคร่อักษรได้ (Sliding , Shifting , Carriage) และลดจำนวนแป้นอักษรลงมาเหลือ 4 แถว แต่ก็ยังมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง ดังนั้นพระอาจวิทยาคม จึงได้ปรึกษากับพนักงานในบริษัทของท่าน คือ นายสวัสดิ์ มากประยูร กับ นายสุวรรณประเสริฐ เกษมณี โดย นายสวัสดิ์ มากประยูร ทำหน้าที่ออกแบบประดิษฐ์ก้านอักษร และนายสุวรรณประเสริฐ เกษมณี ทำหน้าที่จัดวางตำแหน่งแป้นอักษร เพื่อให้สามารถพิมพ์ได้ถนัดและรวดเร็ว จนสำเร็จในปี พ.ศ.2474 โดยใช้เวลาพัฒนา 7 ปี และเรียกแป้นอักษรแบบใหม่นี้ว่าแป้นเกษมณี ตามนามสกุลของผู้ออกแบบ โดยแป้นพิมพ์เกษมณีมีรูปแบบการจัดวางตัวอักษรในแป้นเหย้าเป็น "ฟ ห ก ด่า ส ว" ถึงแม้ในปี พ.ศ.2508 นายสฤษดิ์ ปัตตะโชติ นายช่างกรมชลประทานจะได้ทำการปรับปรุง และออกแบบการจัดวางตำแหน่งแป้นอักษรไทยใหม่ ซึ่งเรียกว่าแป้นปัตตะโชติ และได้ทำการวิจัยจนพบว่า แป้นปัตตะโชติสามารถพิมพ์ได้เร็วกว่าแป้นเกษมณีถึง 26.8 % ก็ตาม แต่นักพิมพ์ดีดทั้งหลายได้ชินกับการพิมพ์บนแป้นเกษมณีแล้ว อีกทั้งต้นทุนในการปรับเปลี่ยนแป้นของเครื่องพิมพ์ดีดที่ใช้อยู่ก็สูง จึงทำให้แป้นแบบเกษมณียังคงได้รับความนิยมมาจนทุกวันนี้ และได้กลายเป็นแป้นพิมพ์ภาษาไทยมาตรฐานสำหรับคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน นอกจากนี้พระอาจวิทยาคม ก็ยังเป็นบุคคลแรกที่เปิดโดรงเรียนสอนพิมพ์ดีดภาษาไทยแบบสัมผัสขึ้นในปี พ.ศ.2470 อีกด้วย
นาย เจษฎา ทองด้วง

อักษรเบรลล์ ถือว่าเป็นอักษรที่สำคัญมากในการสื่อสารระหว่างกันของผู้พิการทางสายตา ต้นกำเนิกอักษรเบรลล์ เริ่มมาจากเมื่อปี ค.ศ.1812 เด็กชาย หลุยส์ เบรลล์ อายุ 3 ขวบ ได้ประสบอุบัติเหตุ จนเป็นเหตูให้เขาพิการทางสายตา แต่เขากยังใฝ่รู้เอามากๆเขาเรียนรู้ในตัวอักษรต่างๆด้วยการนำกิ่งไม้มาต่อกันเป็นตัวอักษร จนเมื่อเขาเข้าสู่วัยรุ่น เขาได้ข่าวว่ามีนายทหารฝรั่งเศสคนหนึ่งได้คิดค้นการปรุและขีดเป็นรอยอักษรบนกระดานแข็ง เพื่อใช้สื่อสารกับทหารในกองทัพในยามค่ำคืน เรียกกันว่า "การเขียนในยามมืดมิด" (night writing) ข่าวดังกล่าวจุดประกายความคิดและสร้างแรงบันดาลใจให้กับเบรลล์เป็นอย่างมาก เขาจึงเริ่มคิดประดิษฐ์อักษรปรุสำหรับให้คนตาบอดสัมผัสได้สำเร็จ และง่ายต่อการแยกแยะตัวอักษรแต่ละตัว เหตุนี้เอง อักษรดังกล่าวจึงมีชื่อเรียกตามผู้คิดค้นว่า "อักษรเบรลล์" (Braille) และหลังจากนั้นไม่นาน อักษรเบรลล์ก็กลายเป็นที่รู้จักทั่วในฝรั่งเศส และขณะนี้ก็ขยายไปทั่วโลกแล้ว

นาย เจษฎา ทองด้วง











"เรือดูโลส" สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2457 ซึ่งแต่เดิมเป็นเรือขนส่งสินค้าและได้ดัดแปลงถึง 3 ครั้งกว่าจะมาเป็นร้านหนังสืออย่างที่เห็น เรือดูโลสได้เดินทางไปทั่วโลกมาแล้วกว่า 100 ประเทศ โดยมีจุดประสงค์ที่สำคัญคือ นำความรู้ไปสู่ประเทศที่ไปเยี่ยมเยือน นำความช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นด้านการพัฒนาสังคมหรือด้านอื่นๆและสุดท้ายคือนำความหวังไปสู่ประเทศที่ยากจน บนเรือดูโลสมีหนังสือให้เลือกซื้อมากมายหลายพันเรื่องจากหลากหลายสาขาวิชา อาทิ วิทยาศาสตร์ กีฬา ศิลปะ ปรัชญา การดำเนินชีวิต หนังสือเด็ก สุขภาพ โดยจะมีหนังสือเกี่ยวกับอาหารมากที่สุด นอกจากนี้ราคาหนังสือบนเรือก็ยังถูกกว่าปกติ เพราะมีหน่วยราคาเป็นหน่วยของเรือดูโลสโดยเฉพาะ โดยที่ 100 UNIT=90 บาท ในเรือลำนี้นอกจากราคาของหนังสือที่ไม่แพงแล้วยังได้หนังสือที่มีคุณภาพดีอีก
นาย เจษฎา ทองด้วง


โชติ แพร่พันธุ์ เกิดเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2450 เป็นบุตรของเจ้าอินแปง เทพวงศ์ เชื้อสายเจ้าเมืองแพร่ มารดาชื่อจ้อย โชติ แพร่พันธุ์ เข้าเรียนที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ตั้งแต่อายุ 6 ขวบ ได้รับการอุปถัมภ์จากพระยาพิทักษ์ภูบาลอยู่ระยะหนึ่ง โชติได้เขียนหนัสือเล่มแรกได้ใช้นามปากกาว่ายาขอบ เลียนแบบจากนักเขียนเรื่องตลกชาวอังกฤษ ชื่อ เจ.ดับบลิว. ยาค็อบ ทำให้เกิดงานประพันธ์ชิ้นแรกในนาม ยาขอบ ชื่อ จดหมายเจ้าแก้ว พ.ศ. 2474 วันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2499 ขณะอายุ 48 ปี ด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง และเบาหวาน
ผลงานนวนิยาย : ผู้ชนะสิบทิศ พรานสวาท รวมเรื่องสั้น : อารมณ์ คามวาลี รอยโครอยเกวียน รักแท้ หลังฉากผู้ชาย เพื่อนแพง หล่อนชั่วเพราะชาย เมียน้อย ผู้หญิงมุมมืด ฯลฯ เรื่องแปล : สนมพระจอมเกล้า ขวัญใจจอมขวาน (ร่วมกับคนอื่น) บุปผาในกุณฑีทอง ฯลฯ สารคดี : สินในหมึก เรื่องไม่เป็นเรื่อง หนุมานลูกใคร ที่ว่าโป๊โป๊นั้นประการใด ผลงานเรียบเรียง : มหาภาระตะ สามก๊กฉบับวณิพก ร้อยกรอง : อะไรเอ่ย ยาขอบสอนตน


น่ายกย่องจริงๆ ค่ะ เพราะท่านทั้งเก่ง และมีความสามารถเป็นอย่างมากในการแต่งบทประพันธ์ ต่างๆ น่าติดตามเป็นอย่างมาก



มัลลิกา ปัญญาธนกิจ



ใครจะรู้ว่ามีหนังสือเล่มไหน เป็นหนังสืออะไร อ่านแล้วให้ความรู้หรือ ให้ประดยชน์อย่างไร แก่ผู้อ่าน วันนี้ได้นำมาบอกต่อแก่ผู้ที่สนใจอยากอ่านหนังสือยอดนิยมตลอดกาล มีทั้งหมด10เล่ม มีดังนี้
1.The Bible (พระคริสตธรรมคัมภีร์)จำนวนขาย 3,000,000,000 เล่มไม่มีใครรู้แน่ว่าที่ผ่านมา มีการตีพิมพ์จำหน่ายจ่ายแจกพระคัมภีร์ไปเป็นจำนวนเท่าใดแต่ทางสมาคมพระคริสตธรรมได้พยายามคำนวณออกมาว่า ระหว่างปี 2359 ถึง 2518มีการพิมพ์ออกมาถึง 2,458 ล้านเล่ม และขณะนี้คิดว่าตัวเลขใกล้เคียง 3,000 ล้านเล่มแล้ว แต่ไม่ว่าตัวเลขที่ชัดเจนจะเป็นเท่าใดก็ตาม เท่าที่ผ่านมาพระคัมภีร์ยังคงเป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดทุกกาลสมัย
2.Quotations from the Works of Mao Tse-Tungจำนวนขาย 800,000,000 เล่มหนังสือแดงฉบับจิ๋วของประธานเหมาฯน่าจะนับได้ว่า เป็นหนังสือขายดีเล่มหนึ่ง เพราะในระหว่างปี พ.ศ. 2509-2514 นั้นคนจีนที่เป็นผู้ใหญ่ทุกคนถูกบังคับให้มีไว้ในครอบครองคนละเล่ม
3.American Spelling Book จำนวนขาย 100,000,000 เล่มเขียนโดย Noah Websterพิมพ์ครั้งแรกในปี พ.ศ.2326 เป็นหนังสืออ้างอิงของ "จ้าวแห่งตัวอักษร"ผู้เขียน มีชีวิตอยู่ระหว่างปี 2301-2386 เป็นที่มาของพจนานุกรมฉบับเวบสเตอร์ที่เลื่องชื่อ หนังสือนี้ขายดีจนถึงศตวรรษที่ 19
4.The Guinness Book of Records(หนังสือสถิติกินเนสส์)จำนวนขายมากกว่า 60,000,000 เล่มพิมพ์ครั้งแรกในปี พ.ศ.2498 ประสบความสำเร็จสูงสุดในประเภทสิ่งพิมพ์ร่วมสมัยโดยมีการพิมพ์เป็นภาษาต่างประเทศหลายภาษา(รวมทั้งภาษาไทยด้วย)
5.The McGuffey Readersเขียนโดย William Holmes McGuffey 60,000,000 เล่มพิมพ์ขึ้นหลายครั้งนับจากปี พ.ศ. 2396 เป็นตำราเรียน แต่งโดยนักคัดเลือกบทประพันธ์ชาวอเมริกัน
6.A Message to Garciaเขียนโดย Elbert Hubbard จำนวนขาย 40-50,000,000 เล่มเป็นธรรมากถาของ Hubbard ในหัวข้อแรงงานสัมพันธ์ ตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2442และในเวลาต่อมาได้รับความสำเร็จสูงสุดในด้านการขาย ส่วนใหญ่เนื่องจากนายจ้างชาวอเมริกันได้ซื้อเป็นจำนวนมากเพื่อแจกจ่ายลูกจ้างของตน
7.World Almance จำนวนขายมากกว่า 36,000,000 เล่มหนังสือเล่มนี้มีการพิมพ์เป็นประจำทุกปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2411 ถือได้ว่าเป็นหนังสือขายดีในระยะยาว
8.In His Steps: "What Would Jesus Do ?"เขียนโดย สาธุคุณ Charles Monroe Sheldon 28,500,000 เล่มเขียนเมื่อปี พ.ศ. 2439 เป็นหนังสือศาสนา
9.Valley of the Dollsเขียนโดย Jacqueline Susann มากกว่า 28,712,000 เล่มเกี่ยวกับเรื่องเพศ ความรุนแรง และยาเสพติดด้วยสำนวนที่เผ็ดร้อน เป็นหนังสือนวนิยายที่ขายดีที่สุด ในโลก
10.The Commonsense Book of Baby and Chilld Careคู่มือดูแลทารกและเด็ก เขียนโดย Benjamin Spock
ข้อมูลนี้ยืนยันได้ว่าหนังสือ "best sellers" ที่แท้จริงของโลกตลอดทุกยุคทุกสมัยคือ"พระคัมภีร์"
"เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ตราบใดที่ฟ้าและดินดำรงอยู่ แม้ตัวอักษรหนึ่งหรือขีดๆหนึ่ง ก็จะไม่สูญไปจากธรรมบัญญัติจนกว่าสิ่งที่จะต้องเกิด ได้เกิดขึ้นแล้ว"(มัทธิว 5:18)




ทีนี้เพื่อนๆ ก็ได้รู้แล้วว่าหนังสือที่ขายดีที่สุดคืออะไร ใครสนใจก็สามารถเลือกซื้อได้ เพราะมี ชื่อหนังสือ และคนเขียนเอาไว้ทั้งหมดแล้ว แต่หนังสือที่เราชอบอ่านมากที่สุดก็คือ Harry Potter ตั้งแต่เล่มแรกแล้ว สนุกดี


มัลลิกา ปัญญาธนกิจ

























































































































อยากให้เพื่อนๆ ได้ดูว่าเมื่อสมัยก่อนประเทศไทยหน้าตาเป็นอย่างไร ทำไมถึงเว้าๆ แหว่ง ส่วนแหว่งมันหายไปไหน แล้วเสียพื้นที่ให้กับประเทศอะไร อยากให้ช่วยกันรักประเทศชาติของเราไว้ไม่ให้ใคร มาแย่แผ่นดินของเราไปได้ มัลลิกา ปัญญาธนกิจ

Blogger Template by Blogcrowds